แนวข้อสอบพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2551
1. พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกาศใช้ในราชกิจจนุเบกษาเมื่อใด
ก. 4 กุมภาพันธ์ 2551 ค. 4 มีนาคม 2551
ข. 5 กุมภาพันธ์ 2551 ง. 5 มีนาคม 2551
ตอบ ข. 5 กุมภาพันธ์ 2551
2. “การพัฒนาที่ดิน” หมายความว่า
ก. การปรับปรุงดินหรือที่ดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
ข. การกระทำใด ๆ ต่อดินหรือที่ดินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของดินหรือที่ดิน
ค. การกระทำใด ๆ ต่อดินหรือที่ดินเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้สูงขึ้น
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
3. “ดิน” ตามพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๑ หมายความรวมถึง
ก. อินทรีย์วัตถุต่าง ๆ ที่เจือปนกับเนื้อดิน ค. แร่ธาตุ น้ำ
ข. หิน กรวด ทราย ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
4. ใครคือประธานใน “คณะกรรมการพัฒนาที่ดิน”
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ค. อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
ง. อธิบดีกรมที่ดิน
ตอบ ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
5. กรรมการและเลขานุการใน “คณะกรรมการพัฒนาที่ดิน” คือใคร
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ค. อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
ง. อธิบดีกรมที่ดิน
ตอบ ง. อธิบดีกรมที่ดิน
6. ข้อใด ไม่ใช่ อำนาจและหน้าที่ของ “คณะกรรมการพัฒนาที่ดิน”
ก. กำหนดการจำแนกประเภทที่ดินเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
ข. วางแผนการใช้ที่ดิน การพัฒนาที่ดิน การกำหนดบริเวณการใช้ที่ดินและการกำหนดเขตการอนุรักษ์ดินและน้ำ
ค. กำหนดมาตรการเพื่อการปรับปรุงดินหรือที่ดิน หรือกำหนดมาตรการเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ
ง. สำรวจและวิเคราะห์ ตรวจสอบดิน หรือที่ดินเพื่อให้ทราบถึงความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
ตอบ ง. สำรวจและวิเคราะห์ ตรวจสอบดิน หรือที่ดินเพื่อให้ทราบถึงความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
7. พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในที่ดินเพื่อทำการสำรวจที่ดินและน้ำในเวลาใด
ก. 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น ค. พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก
ข. 8 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น ง. เวลาใดก็ได้ตามที่สมควร
ตอบ ค. พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก
8. ในการเข้าไปสำรวจที่ดินและน้ำพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบล่วงหน้ากี่วัน
ก. ไม่น้อยกว่า 10 วัน ค. ไม่น้อยกว่า 5 วัน
ข. ไม่น้อยกว่า 15 วัน ง. ไม่น้อยกว่า 7 วัน
ตอบ ข. ไม่น้อยกว่า 15 วัน
9. ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ดัดแปลง เคลื่อนย้าย หรือถอดถอนเครื่องหมายสำรวจซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ทำไว้ จะต้องระวางโทษอย่างไร
ก. จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข. จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ค. จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ง. จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตอบ ก. จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
10. เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือข้อใด
ก. พรบ.ฉบับเดิมใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว
ข. พรบ.ฉบับเดิมมีบทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน
ค. พรบ.ฉบับเดิมไม่มีบทบัญญัติให้หน่วยงานของรัฐสามารถเข้าไปดำเนินการป้องกันรักษาสภาพพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่มและเกิดการชะล้างพังทลายของดินอย่างรุนแรง
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดินพ.ศ. ๒๕๒๖ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว มีบทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันและโดย
ที่ปัจจุบันมีปัญหาความเสื่อมโทรมของดินเพราะไม่มีการอนุรักษ์ดินและน้ำ ทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของดินก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งไม่มีบทบัญญัติให้หน่วยงานของรัฐสามารถเข้าไปดำเนินการป้องกันรักษาสภาพพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่มและเกิดการชะล้างพังทลายของดินอย่างรุนแรง และเพื่อให้การใช้ที่ดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดสมควรกำหนดมาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมเกี่ยวกับการสำรวจความอุดมสมบูรณ์ของดินตามธรรมชาติความเหมาะสมแก่การใช้ประโยชน์ที่ดิน และการกำหนดการอนุรักษ์ดินและน้ำ การวิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดินหรือการปรับปรุงดินหรือที่ดิน ตลอดจนกำหนดมาตรการห้ามกระทำการใด ๆ รวมถึงการทำให้ที่ดินเกิดการปนเปื้อนของสารเคมีหรือวัตถุอื่นใด จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ความเป็นมา
เดิมก่อนที่จะมีพระราชบัญญัติฉบับนี้ กรมพัฒนาที่ดินมีกฎหมายที่ใช้บังคับคือพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2526 ซึ่งมีทั้งหมด 17 มาตรา บทบัญญัติใน 17 มาตรา ส่วนใหญ่กำหนดอำนาจหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดิน และคณะกรรมการพัฒนาที่ดินไว้อย่างกว้าง ๆ ไม่มีสภาพบังคับหรือให้อำนาจหน้าที่กับกรมพัฒนาที่ดิน และคณะกรรมการพัฒนาที่ดินในการแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน ประกอบกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาปัญหาความเสื่อมโทรมของดินได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ความอุดมสมบูรณ์ของดินตามธรรมชาติลดลง ดินมีการปนเปื้อนสารเคมีและมีการขยายตัวของดินเค็ม ทั้งยังมีการนำพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินซึ่งเหมาะสมในการทำเกษตรกรรมไปใช้เพื่อกิจกรรมอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก รวมทั้งได้มีการนำพื้นที่ลาดชันและพื้นที่สูง มาใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรโดยปราศจากระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ก่อให้เกิดการชะล้างพังทลายของดินอย่างรุนแรงจนถึงขั้นดินถล่มตามพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ ซึ่งนอกจากสร้างความเสื่อมโทรมของดินแล้ว ยังทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของรัฐและประชาชน
ดังนั้น เพื่อป้องกันและแก้ไขความเสื่อมโทรมของดินซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าของประเทศให้ใช้ต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน จึงจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. พัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2526 ที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ จึงเป็นที่มาของพระราชบัญญัติฉบับนี้
สรุปสาระสำคัญในพระราชบัญญัติฉบับนี้
พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2551 มีทั้งหมด 25 มาตรา ได้เพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดินในการป้องกันแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน รวมทั้งรักาาไว้ ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. ยกเลิกพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2526 (มาตรา 3)
2. เพิ่มบทนิยามของคำว่า "เกษตรกรรม การชะล้างพังทลายของดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำ มาตราการวิธีกล มาตราการวิธีพืช" (มาตรา 4)
3. เพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน มีดังนี้ อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี อธิบดีกรมธนารักษ์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เลขาธิการสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (มาตรา 5)
4. เพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน ดังนี้
(1) ประกาศกำหนดเขตสำรวจการอนุรักษ์ดินและน้ำ (มาตรา 9 (3) มาตรา 17)
(2) ให้คำแนะนำรัฐมนตรีในการออกประกาศกำหนดบริเวณการใช้ที่ดิน (มาตรา 9 (2) มาตรา 12)
(3) ให้คำแนะนำรัฐมนตรีในการออกประกาศเขตอนุรักษ์ดินและน้ำ (มาตรา 13)
(4) ให้คำแนะนำรัฐมนตรีในการออกประกาศควบคุมการใช้ที่ดินที่มีการใช้หรือทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมี หรือวัตถุอื่นใดที่จะทำให้ที่ดินเกิดความเสื่อมโทรมต่อการใช้ประโยชน์ทางการเกษตร รวมทั้งกรณีมีการปนเปื้อนเกิดขึ้นให้ผู้กระทำการปนเปื้อนดำเนินการปรับปรุงที่ดินให้คืนสุ่สภาพเดิม หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐหรือผุ้ได้รับความเสียหาย (มาตรา 14)
(5) ในการประกาศตามมาตรา 12 มาตรา 13 และมาตรา 14 จะมีการกำหนดมาตราการอย่างใดอย่างหนึ่ง (มาตรา 15) เพื่อให้ประกาศดังกล่าวมีสภาพบังคับ เช่น
• การกำหนดมาตราการอนุรักษ์ดินและน้ำ เพื่อลดการชะล้างพังทลายของดินและป้องกันการเกิดดินถล่ม โดยใช้มาตราการวิธีกล มาตราการวิธีพืช
• การห้ามกระทำการใดๆ รวมถึงการทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารพิษที่เป็นอันตรายต่อดิน หรือทำให้สภาพดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
• กำหนดมาตราการอื่น ๆ ตามที่เห็นสมควรและเหมาะสมแก่สภาพพื้นที่นั้น
(6) การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการกำหนดมาตราการดังกล่าวตามข้อ 4 (5) (มาตรา 15 วรรคท้าย)
(7) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาความเดือดร้อน หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้ครอบครองที่ดินจากการกำหนดบริเวณการใช้ที่ดิน หรือกำหนดเขตอนุรักษ์ดินและน้ำ (มาตรา 9 (4))
บทกำหนดโทษ
ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรา 15 หรือขัดขวางพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการตามมาตรา 18 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ